เศรษฐกิจไทยในยุคทรัมป์ 2.0: ความท้าทายและโอกาส

เศรษฐกิจไทยในยุคทรัมป์ 2.0: ความท้าทายและโอกาส

การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์สู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2025 ที่มักเรียกกันว่า "ทรัมป์ 2.0" ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อการค้าและการลงทุนทั่วโลก สำหรับประเทศไทยซึ่งมีเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยเข้ากับเศรษฐกิจโลกอย่างลึกซึ้ง ผลกระทบอาจมีนัยสำคัญ แม้ว่านโยบายของทรัมป์อาจสร้างความท้าทาย โดยเฉพาะในด้านการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ แต่ก็อาจสร้างโอกาสให้ประเทศไทยได้ปรับตัวและเติบโตในภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลง บทความนี้จะฉายภาพผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากทรัมป์ 2.0 ต่อเศรษฐกิจไทย และวิธีที่ประเทศอาจเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นี้

ความสัมพันธ์ทางการค้าและความท้าทายทางเศรษฐกิจ

1. การกีดกันทางการค้าและภาษี

จุดเด่นของการเป็นประธานาธิบดีครั้งแรกของทรัมป์คือการเน้นนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" ซึ่งรวมถึงการเก็บภาษีนำเข้าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ หากได้รับเลือกตั้งอีกครั้ง ทรัมป์มีแนวโน้มที่จะเข้มงวดกับแนวทางการกีดกันทางการค้าและภาษีนำเข้ามากขึ้น โดยอาจมุ่งเป้าไปที่สินค้าส่งออกสำคัญของไทย เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และผลิตภัณฑ์การเกษตร ปัจจุบันไทยมีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ ประมาณ 32.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ ปลายปี 2024 ซึ่งประเทศที่เกินดุลกับสหรัฐฯ ย่อมตกเป็นเป้าที่สหรัฐจะมีรายชื่อประเทศไทยอยู่ในรายชื่อที่ต้องมีการปรับเรื่องภาษีนำเข้า โดย SCB Economic Intelligence Center (EIC) คาดการณ์ว่าการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ จะลดลง 0.8% ถึง 1% ในปี 2025

2. ความกังวลเรื่องสงครามค่าเงิน

ประเทศไทยอยู่ในบัญชีรายชื่อประเทศที่ถูกจับตามองเรื่องการแทรกแซงค่าเงินของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และรัฐบาลทรัมป์ 2.0 อาจเพิ่มการตรวจสอบนโยบายค่าเงินของไทยมากขึ้น หากเงินบาทถูกมองว่ามีการอ่อนค่าลงโดยเจตนาเพื่อกระตุ้นการส่งออก สหรัฐฯ อาจใช้มาตรการคว่ำบาตรหรือเพิ่มภาษี มาตรการดังกล่าวจะเพิ่มแรงกดดันทางเศรษฐกิจต่อประเทศไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออก

3. การเปลี่ยนแปลงในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)

สหรัฐฯ เป็นแหล่งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่สำคัญของไทย คิดเป็น 18.3% ของ FDI ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม นโยบายของทรัมป์ ซึ่งอาจรวมถึงการจูงใจให้บริษัทสหรัฐฯ นำการผลิตกลับประเทศ อาจลดการไหลเข้าของ FDI ในไทย SCB EIC ประมาณการว่าการลงทุนภาคเอกชนในไทยอาจลดลง 0.4% ถึง 0.5% ในปี 2025 เนื่องจากความไม่แน่นอนทั่วโลกที่เกิดจากนโยบายการค้าของทรัมป์ สิ่งนี้อาจทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยชะลอตัวลง โดยเฉพาะในภาคส่วนที่พึ่งพาเงินทุนจากต่างประเทศ

โอกาสท่ามกลางความท้าทาย

แม้ว่าความท้าทายจะมีนัยสำคัญ แต่ประเทศไทยมีตำแหน่งที่ดีในการเปลี่ยนความท้าทายบางส่วนให้เป็นโอกาส

1. การย้ายฐานการผลิต

ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นอาจจูงใจให้บริษัทข้ามชาติย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศต่างๆ เช่น ไทย โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เซมิคอนดักเตอร์และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โครงสร้างพื้นฐานการผลิตที่มั่นคง แรงงานที่มีทักษะ และทำเลที่ตั้งเชิงกลยุทธ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของไทย ทำให้เป็นจุดหมายที่น่าดึงดูดสำหรับการลงทุนดังกล่าว การใช้ประโยชน์จากจุดแข็งเหล่านี้ ไทยสามารถเสริมสร้างตำแหน่งของตนในฐานะศูนย์กลางการผลิตระดับภูมิภาค

2. การกระจายตลาดการค้า

การพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มากเกินไปเป็นจุดอ่อนของเศรษฐกิจไทยที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออกมาอย่างยาวนาน เพื่อตอบสนองต่ออุปสรรคทางการค้าที่อาจเกิดขึ้น ไทยอาจเร่งความพยายามในการกระจายตลาดส่งออก การขยายความสัมพันธ์ทางการค้ากับยุโรป ตะวันออกกลาง และภูมิภาคอื่นๆ ในเอเชียจะช่วยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) และความร่วมมือระดับภูมิภาค เช่น ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) อาจมีบทบาทสำคัญในกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงนี้

3. การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจภายในประเทศ

การลดการพึ่งพาการส่งออกโดยการเสริมสร้างการบริโภคภายในประเทศและอุตสาหกรรมท้องถิ่นเป็นอีกแนวทางหนึ่งเพื่อความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ รัฐบาลไทยอาจมุ่งเน้นการริเริ่มที่เสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ปรับปรุงกรอบกฎระเบียบ และสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) การสร้างตลาดภายในประเทศที่แข็งแกร่งจะช่วยให้ไทยสามารถทนต่อแรงกระแทกจากภายนอกและรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว และนี่เป็นอีกหนึ่งพันธกิจที่ Trustender อยากสร้างโอกาสให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ

ภาคการท่องเที่ยว: จุดสว่างในความมืด

ภาคการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจ คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์น้อยกว่า นักท่องเที่ยวชาวอเมริกันคิดเป็นเพียงประมาณ 2.9% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด จำกัดผลกระทบโดยตรงของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อภาคส่วนนี้ นอกจากนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวภายใต้ทรัมป์อาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของรายได้ที่ใช้จ่ายได้สำหรับนักท่องเที่ยวชาวอเมริกัน ซึ่งอาจเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวให้กับประเทศไทย สิ่งนี้จะเป็นตัวช่วยบรรเทาความท้าทายทางเศรษฐกิจอื่นๆ ซึ่งภาคการท่องเที่ยวปัจจัยหลักของผลกระทบจะมาจาก นักท่องเที่ยวจีนมากกว่าสหรัฐฯ

บทสรุป: หนทางในภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจใหม่

การเข้ามาเป็นประธานาธิบดีทรัมป์ในครั้งที่ 2 นั้นมีทั้งความเสี่ยงและโอกาสสำหรับเศรษฐกิจไทย ในขณะที่การกีดกันทางการค้า การแทรกแซงค่าเงิน และการลงทุนจากต่างประเทศที่มีโอกาสลดลง สร้างความท้าทายที่สำคัญกับประเทศอย่างมาก แต่ประเทศไทยก็ยังมีศักยภาพที่จะปรับตัวและเติบโตผ่านการกระจายความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ การลงทุนในอุตสาหกรรมภายในประเทศ และการใช้ประโยชน์จากจุดแข็งในฐานะศูนย์กลางการผลิตและการท่องเที่ยว ที่สำคัญสุดท้ายที่ประเทศไทยประสบมาอย่างยาวนาน คือความสามารถของรัฐบาลไทยที่จะคิดนโยบายเชิงกลยุทธ และความสามารถในการดำเนินนโยบายตามที่ตั้งใจไว้ได้ ไปๆ มาๆ ก็กลับมาที่ปัญหาทางการเมืองของไทย หวังว่าเราจะหลุดพ้นจากกับดักทางการเมืองได้เร็วๆ นี้

กลับไปยังบล็อก